วันพฤหัสบดีที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

กุ้งบลูลอบสเตอร์ ( cherax quadricarinatus )

กุ้งบลูลอบสเตอร์ ( cherax quadricarinatus )

ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Cherax quadricarinatus (Red Claw, Blue Lobster, Rainbow)
ชื่ออื่นๆ : Blue Lobster , Australian Crayfish
แหล่งกำเนิด : Queensland Australia
ขนาดตัว : 20-26 ซ.ม. (8-10 นิ้ว)
อุณหภูมิน้ำ : 24-28° C
ค่า pH : 6.5-7.5
อุปนิสัย : ดุร้าย ก้าวร้าว
ระดับความยากในการเลี้ยง : ง่าย

Cherax quadricarinatus เป็นกุ้งเครฟิชที่มีมานานในบ้านเรา เรียกได้ว่าเป็นกุ้งเครฟิช “ ครู “ อีกชนิดหนึ่งเลยเหมือนกัน ซึ่งมีหลายๆคนนิยมเลี้ยง เนื่องจากหาซื้อได้ง่าย และ มีจำหน่ายมากมายหลายสถานที่กว่าพันธุ์อื่นๆ ในสายเดียวกัน และเนื่องจากเป็นกุ้งเครฟิช ที่ปรับตัวได้ดี ในสภาพภูมิอากาศบ้านเรา ทำให้สามารถเลี้ยงได้ผลผลิตค่อนข้างดี ในหลายๆจังหวัดในบ้านเรา จึงทำให้มีลูกกุ้งเครฟิชชนิดนี้จำหน่ายได้มากนั้น่เอง ในบ้านเรามักเรียกกุ้งชนิดนี้ว่าว่ากุ้งบลูล็อบเตอร์หรือกุ้งเรนโบว์ โดยถ้ามีลำตัวออกสีน้ำเงินจะนิยมเรียกว่าบลูล็อบเตอร์ แต่ถ้าสีออกน้ำตาลจะเรียกว่าเรนโบว์ ซึ่งในส่วนของเรื่องสีสันนั้น กรรมพันธุ์ของกุ้ง และ สภาพแวดล้อมในการเลี้ยง รวมทั้งอาหารที่ให้ จะทำให้มีผลต่อสีของกุ้ง การเลี้ยงกุ้งชนิดนี้รวมกันหลายๆตัวในตู้เดียว ผู้เลี้ยงควรจะจัดหาที่หลบซ่อนอย่างพอเพียงเพื่อลดโอกาสการต่อสู้กัน เนื่องจากเป็นกุ้งขนาดใหญ่ ดังนั้น ผู้เลี้ยงก็ควรจะเตรียมพื้นที่ในการเลี้ยง ให้กว้างกว่า กุ้งเครฟิช อีกหลายๆชนิดของบ้านเราไว้ ก็จะเป็นการดี อย่างไรก็ตาม การเลี้ยงในตู้กระจก หรือ ตู้ปลา อาจจะทำให้ได้กุ้งที่มีขนาดใหญ่ได้ช้ากว่า การเลี้ยงในระบบฟาร์ม แบบบ่อดิน เนื่องจากการมีแร่ธาตุต่างๆ ที่น้อยกว่า 

ข้อแนะนำในการเลี้ยง :
ไม่แนะนำให้เลี้ยงรวมกับปลา เครฟิชอาจจับปลากินเป็นอาหาร และการเลี้ยงร่วมกับ ตู้ไม้น้ำ จะทำให้ท่านผู้เลี้ยงปวดตับ ตับ ตับ ตับ ได้ เนื่องจากตู้ไม้น้ำสวยๆ จะกลาย เป็นรังวัชพืช พอที่จะให้ปลากระดี่ ก่อหวอดได้อย่างง่ายดาย ชนิดใหนที่ตัดแล้วจม ก็เข้าปากกุ้ง ชนิดใหนที่ตัดแล้วลอย ก็เหมาะในการให้ปลากระดี่ มาใช้ก่อหวอดนั่นเอง ดังนั้น ผู้เลี้ยงควรจะจัดตู้ด้วยหินก้อนกรวดมน เหมือนในลำธาร หรือ ตู้ประกอบหินชนิดต่างๆ ได้ตามชอบใจ ยกเว้น หินเคลือบสีสวย ๆ ไม่แนะนำครับ เพราะอาจจะมีสารเคมีลงไปในตู้ได้ แต่ระวังการจัดตั้งหินให้ก่อเป็นรูปขึ้นมา เพราะกุ้งอาจจะขุด หินทำรัง ทำโพรง ขุดเพลินๆ เหมือนการขุดท่อกทม จนก้อนหินที่วางซ้อนๆกันไว้ อาจจะตกมาทับตัวกุ้งเองถึงตายได้เช่นกัน 

อาหาร :
โดยปรกติกุ้งเครฟิชสามารถกินอะไรก็ตามที่มันหาเจอทั้งพืชและสัตว์ ผู้เลี้ยงอาจเลี้ยงด้วยอาหารเม็ดสำหรับกุ้ง, หนอนแดง, ผักต้มต่าง ๆ เช่น แครอท, มันฝรั่ง, แตงกวา ฯลฯ สามารถให้การบำรุงด้วยวิตามินน้ำ หรือ แคลเซียม แร่ธาตุของกุ้ง ที่มีมากมายหลายยี่ห้อในตลาด ได้ตามปกติครับ เพราะเนื่องจาก เมื่อกุ้งตัวใหญ่มากๆ การเสริมแร่ธาตุ และวิตามิน รวมถึง คุณภาพอาหารที่ให้ก็เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการลอกคราบของกุ้งครับ 

การขยายพันธุ์ :
กุ้งชนิดนี้ สามารถเริ่มผสมพันธุ์ได้เมื่อกุ้งเริ่มมีขนาด 4-5 นิ้วขึ้นไป โดยตัวเมียจะใช้เวลาฟักไข่จนออกเป็นตัวประมาณ 30 วัน โดยอัตราเฉลี่ย จะขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมในขณะนั้นครับ

อื่นๆ :

เสน่ห์ของกุ้งชนิดนี้ ส่วนใหญ่ จะเป็นรูปร่างที่สวยงามใหญ่โต ในช่วงที่โตเต็มวัย จะดูอลังการ งานสร้างมากๆ โดยเฉพาะ ตัวผู้ มักจะมีขอบสีส้มๆ ตัดที่ในส่วนก้ามหนีบ ดูแล้วสวยงาม มีเสน่ห์มากครับ ซึ่งตัวของผู้เขียนเอง เคยได้เห็นฟาร์มเพาะพันธุ์กุ้ง นำกุ้งชนิดนี้ มาโชว์ในงานแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับปลา นับว่า ดึงดูดสายตาผู้คนได้มากทีเดียวครับ โดยเฉพาะ เด็กๆ บางคนพูดว่า อยากกินต้มยำกุ้ง , กุ้งเผา บ้างก็มี ไม่รู้ว่าชอบกุ้งชนิดนี้ หรือดูไปแล้ว อยากกินกุ้งกันแน่ ( ฮา ) แต่เอาเป็นว่า โต ขึ้นแล้ว สวย แน่ครับ สำหรับกุ้งชนิดนี้ ผู้รักชอบ การเลี้ยงกุ้งเครฟิช น่าจะมีเอาไว้ในครอบครองกันมาก เพราะหาซื้อได้ง่าย ก็ขอให้มีความสนุกกับการเลี้ยง กุ้งชนิดนี้นะครับ อ้อ ปัจจุบันได้มีการพัฒนากุ้งชนิดนี้ จนบางที ได้สีสันที่ออกเป็นสีโทนขาวๆ ก็มีนะครับ แต่เท่าที่ดูแล้ว อาจจะยังไม่นิ่งเท่าไหร่ แต่ถ้าใครเลี้ยงจนโตใหญ่ แล้วมีสีขาวบริสุทธิ์ได้นี่ ก็คงสวย และ ราคา “ แรงงงง !!!! “ พอสมควรเลยล่ะครับ สำหรับในตลาดซื้อขายกุ้งสวยงาม 

ม้าลาย

ม้าลาย
ม้าลาย
ม้าลาย 
สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
Common Zebra(Burchell's Zebra)
ชื่อทางวิทยาศาสตร์: Equus burchellii

ลักษณะทั่วไป
     
พบทั่วไปในทวีปแอฟริกาแถบที่ราบโล่งทางตอนใต้ของทะเลทรายซาฮาร่า 
       

ถิ่นอาศัย, อาหาร
     พบทั่วไปในทวีปแอฟริกาแถบที่ราบโล่งทางตอนใต้ของทะเลทรายซาฮาร่า 
     กินหญ้าและเมล็ดพืช 

พฤติกรรม, การสืบพันธุ์
     ชอบอาศัยอยู่ตามที่ราบโล่งที่เป็นหญ้า ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง ฝูงหนึ่งมีหลายร้อยตัวจนถึงเป็นพันก็มี โดยจะเล็มหญ้าหากินร่วมกับสัตว์อื่นในทุ่งกว้าง เช่น นกกระจอกเทศ ยีราฟ แอนตีโลป และสัตว์กีบชนิดอื่นๆ ม้าลายมักจะมีนกกินแมลงจับเกาะอยู่บนหลัง เพื่อช่วยระวังภัยและกินพวกแมลงที่มารบกวน และมีนกกระจอกเทศและยีราฟคอยช่วยเป็นป้อมยามคอยเตือนภัยและระวังภัยให้ เพราะม้าลายสายตาไม่ค่อยดี แต่จมูกและหูไวมาก ฟันคม 
     ม้าลายเริ่มผสมพันธุ์ได้เมื่อมีอายุประมาณ 2 ปี ตั้งท้องนานประมาณ 345-390 วัน ออกลูกครั้งละ 1 ตัว มีอายุยืนประมาณ 25-30 ปี 

เสือโคร่ง


เสือโคร่ง

เมื่อเอ่ยคำว่า "เสือ" ขึ้นมาเพียงคำเดียว ทุกคนคงจะนึกถึงเสือโคร่งเป็นอันดับแรก เพราะเสือโคร่งเป็นเสือที่ผู้คนรู้จักกันมากที่สุด มีลายพาดกลอนไม่เหมือนเสือชนิดอื่น รูปร่างสง่างาม ใหญ่โตกำยำ จึงเป็นตัวแทนของเสือทั้งมวล ในทวีปเอเชียเสือโคร่งได้รับการยกย่องให้เป็นจ้าวป่า เช่นเดียวกับที่สิงโตที่ครองตำแหน่งเป็นจ้าวแห่งท้องทุ่งในทวีปแอฟริกา
มีเรื่องเล่าและตำนานมากมายเกี่ยวกับเสือโคร่ง มันมักถูกเล่าขานในด้านความน่าสะพรึงกลัว น่าเกรงขาม หรือน่าเกลียดชังในฐานะ "สัตว์กินคน" รวมถึงความเชื่อต่าง ๆ เกี่ยวกับอำนาจลึกลับที่อยู่ในตัวเสือโคร่ง สิ่งเหล่านี้ล้วนแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ที่มีมาอย่างยาวนานระหว่างเสือโคร่งกับมนุษย์
อย่างไรก็ตาม เราเพิ่งจะทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเสือโคร่ง ทั้งด้านชีววิทยา การกินอยู่และอุปนิสัยของเสือโคร่งหลังจากมีการสำรวจอย่างจริงจังเมื่อไม่กี่สิบปีมานี้เท่านั้น ข้อเท็จจริงหนึ่งที่เราได้พบคือ จ้าวป่าชนิดนี้กำลังใกล้สูญพันธุ์ เพียงช่วงศตวรรษที่ผ่านมามีเสือโคร่งที่สูญพันธุ์ไปแล้วถึง 3 พันธุ์จากจำนวน 9 พันธุ์ และเสือโคร่งที่เหลืออยู่ก็ลดจำนวนลง ทัศนคติที่ดีและความเข้าใจที่ถูกต้องเท่านั้น ที่จะนำไปสู่การอนุรักษ์อย่างถูกทาง พวกเราทุกคนจึงควรทำความรู้จักกับเสือโคร่งให้ดียิ่งขึ้น ก่อนที่จะไม่มีเสือโคร่งเหลือให้รู้จัก

ลักษณะทั่วไป


เสือโคร่ง
เสือโคร่งเป็นสัตว์ตระกูลแมวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เสือไซบีเรียซึ่งเป็นเสือโคร่งพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดมีน้ำหนักตัวถึงเกือบ 500 กก. ลำตัวมีสีเหลืองแดงหรือสีขมิ้น มีแถบสีดำหรือน้ำตาลพาดตามลำตัวตลอดในแนวตั้ง บริเวณหน้าอก ส่วนท้องและด้านในของขาทั้งสี่มีสีขาวครีม บางตัวอาจมีสีออกเหลือง มีกระบอกปากค่อนข้างยาว เสือโคร่งตัวผู้มีลักษณะเด่นที่ขนที่หลังแก้มทั้งสองด้านซึ่งจะยาวเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในเสือโคร่งพันธุ์สุมาตรา บริเวณจมูกมีสีชมพู ในบางตัวอาจมีสีดำปะปนเป็นแต้ม ๆ ม่านตาสีเหลือง รูม่านตากลม หูสั้นและกลม หลังหูมีสีดำและมีแต้มสีขาวเด่นชัดอยู่กลางใบหู ขาหน้าของเสือโคร่งจะบึกบึนและแข็งแรงกว่าขาหลัง ฝ่าตีนกว้าง หางยาวประมาณครึ่งหนึ่งของลำตัว ปลายหางเรียว ลายดำที่หางมีลักษณะทั้งริ้วและปล้องปนกัน ปลายหางมักจะเป็นสีดำ เสือโคร่งใช้หางช่วยรักษาสมดุลของร่างกายขณะหันตัวอย่างฉับพลัน นอกจากนี้ยังใช้ในการสื่อสารกับเสือตัวอื่นด้วย
ตีนหน้าของเสือโคร่งจะมีนิ้วอยู่ข้างละ 5 นิ้ว ส่วนตีนหลังมีข้างละ 4 นิ้ว เล็บสามารถหดเก็บไว้ในอุ้งได้ ทำให้สามารถเดินได้อย่างเงียบกริบ รอยตีนของเสือโคร่งจึงไม่ปรากฏรอยเล็บ
ลายพาดกลอนของเสือโคร่งแต่ละตัวมีความแตกต่างกันมาก และไม่ซ้ำกันเลยแม้แต่ตัวเดียว แม้แต่ลายทั้งสองข้างของลำตัวและลวดลายด้านข้างของใบหน้าของเสือแต่ละตัวก็มีลายไม่เหมือนกัน จุดสังเกตของแถบบนตัวเสือโคร่งคือ จำนวนแถบ ความกว้างของแถบ และการขาดของแถบกลายเป็นจุด อย่างไรก็ตาม เส้นสีดำเหนือลูกตาทั้งสองข้างค่อนข้างจะสมมาตรกัน เสือโคร่งพันธุ์สุมาตรามีริ้วลายมากที่สุด ส่วนเสือโคร่งพันธุ์ไซบีเรียมีลายน้อยที่สุด
ขนาดและน้ำหนักของเสือโคร่งแต่ละพันธุ์มีความแตกต่างกันมาก เสือไซบีเรียตัวผู้มีขนาดใหญ่และแข็งแรงที่สุด มีความยาวลำตัวเกิน 10 ฟุต และหนักกว่า 300 กิโลกรัม ในขณะที่เสือโคร่งพันธุ์สุมาตราตัวเมียมีความยาวลำตัวสั้นกว่าถึง 3 ฟุต และมีน้ำหนักน้อยเพียงหนึ่งในสามเท่านั้น
เสือที่อยู่ในเขตหนาว เช่นเสือไซบีเรีย และเสือแคสเปียนในในเตอร์กิสถานและคอเคซัส มีขนในฤดูหนาวและในฤดูร้อนแตกต่างกันมาก ในฤดูหนาว ขนของมันจะยาวและแน่นมากจนดูทับกันเป็นปึก ในขณะที่สีสันก็จะจางซีดกว่าขนในฤดูร้อนด้วย

งูเห่า

งูเห่า
งูเห่า

ลักษณะทั่วไป
     
งูเห่า เป็นงูบกขนาดกลาง มีหลายสี คือ ดำ น้ำตาล เขียวอมเทา เหลืองหม่น รวมทั้งสีขาว มีทั้งที่มีลายตามตัว และไม่มีลายเลย เป็นงูที่มีอันตราย นิสัยดุ ฉกกัด เมื่อเกิดอาการตกใจมักทำเสียงขู่ฟู่ๆ และเป็นงูที่มีพิษร้ายแรง มีร่องและรูทางออกของน้ำพิษทางด้านหลังของเขี้ยวพิษ เขี้ยวพิษขนาดไม่ใหญ่นักซึ่งผนึกติดแน่นกับขากรรไกรขยับไม่ได้ นอกจากเขี้ยวพิษแล้วอาจมีเขี้ยวสำรองอยู่ติด ๆ กันอีก 1 - 2 อัน ที่ขากรรไกรล่างไม่มีฟัน งูเห่าเมื่อโตเต็มวัย มีความยาวประมาณ 120-150 เซนติเมตร เมื่อเทียบตามส่วนแล้วงูเห่าสามารถแผ่แม่เบี้ยได้กว้างที่สุดกว่าชนิดอื่น ยกตัวชูคอแผ่แม่เบี้ยได้สูงที่สุดประมาณ 1 ใน 3 ของความยาวลำตัว เกล็ดบนหัวมีขนาดใหญ่ 
       

ถิ่นอาศัย, อาหาร
     พบในบริเวณที่มีลักษณะภูมิประเทศที่ยังคงเป็นธรรมชาติ เช่น ประเทศแถบเอเชีย 
     อาหารส่วนใหญ่ของงูเห่าคือ คางคก เขียด หนู ไก่ ปลา และงูที่มีขนาดเล็กกว่า 

พฤติกรรม, การสืบพันธุ์
     ชอบอยู่ตามท้องทุ่งหรือท้องนา อาศัยพักนอนในโพรงดิน เลาโกรธหรือตกใจจะชูคอแผ่แม่เบี้ยขู่ฟ่อ เมื่อเข้าใกล้จะฉกลงกัด งูเห่าสามารถกัดได้โดยไม่ต้องแผ่แม่เบี้ยถ้าตกใจหรือโดนเหยียบ ออกหากินตั้งแต่พลบค่ำจนถึงกลางคืสตอนดึก ในฤดูร้อนงุเห่ามักจะหลบอยู่ในโพรงดินหรือรูหนู เพื่อคอยดักจับหนูที่จะกลับเข้ามา ในฤดูฝนจะออกหากินตามท้องนาคอยดักจับกบ เขียด ซึ่งออกมากินแมลง เมื่อข้าวออกรวงจะคอยดักจับหนูที่มากินรวงข้าว ถ้าน้ำท่วมท้องนา งูเห่าจะหนีไปตามที่ดอนไปขึ้นต้นไม้ หรือเข้าไปอยู่ใกล้ๆบ้านคน สำหรับในฤดูหนาวงูเห่าจะหลบอยู่ตามรู ไม่ค่อยออกมาหากิน 
     งูเห่าวางไข่ครั้งละประมาณ 10-20 ฟอง ไข่มีลักษณะยาวรี เปลือกไข่เหนียวนิ่มและมีสีขาว เมื่อไข่ถูกฟักออกมาเป็นตัว ลูกงูจะมีลักษณะสีลวดลายคล้ายตัวโตเต็มวัย 

กระต่ายสายพันธุ์ฮอลแลนด์ ลอป (Holland Lop)


กระต่ายสายพันธุ์ฮอลแลนด์ ลอป (Holland Lop)

          เกิดจากการผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่าง กระต่ายสายพันธุ์เฟรนซ์ ลอป (French Lop) กับ เนเธอแลนด์ ดวอร์ฟ (Natherland Dwarf) โดยนักพัฒนาพันธุ์กระต่าย (Breeder) ชาวดัทซ์ หรือ เนเธอแลนด์  ชื่อ นายแอนเดรียน เดอคอก
การ พัฒนาสายพันธุ์ใช้เวลาในการพัฒนายาวนานร่วม 15 ปี  เริ่มตั้งแต่ปี คศ.1949 จนถึงปี 1964
กระต่ายฮอลแลนด์ ลอป ต้นแบบจึงเกิดขึ้นและได้รับการจดทะเบียนรับรองมาตรฐานสายพันธุ์จากสภา กระต่าย
แห่งเนเธอร์แลนด์  และในปี 1980 ฮอลแลนด์ลอป  ก็ได้รับการยอมรับจากสมาคมพัฒนาพันธุ์กระต่าย
แห่งสหรัฐอเมริกา (ARBA) ที่งานประกวดกระต่ายสวยงาม ที่มลรัฐเท็กซัส
 ลักษณะสายพันธุ์ 

คุณลักษณะ ของกระต่าย ฮอลแลนด์ ลอป (Holland Lop) ที่ตรงตามมาตรฐาน
          1. ลักษณะหัวต้องกลมโต
          2. กล้ามเนื้อหนาแน่น
          3. ลำตัวสั้นกระทัดรัด สมส่วนทั้งความยาว ความกว้าง และความสูง
          4. สัดส่วนของลำตัว และหัว ควรจะเป็น 3 : 1 โดยหัวที่โต จะต่อกับลำตัวแลดูเหมือนไม่มีคอ
          5. ไหล่ และอกกว้าง หนาและเต็ม เช่นเดียวกับสะโพก
          6. ขาสั้น ขนนุ่มลื่น
          7. หน้าตรง และกระดูกใหญ่
          8. ใบหูทั้งสองข้างต้องตกแนบสนิทกับแก้ม และใบหูต้องหนาและมีขนขึ้นเต็ม ใบหูต้องยาวเลยจากคางไม่เกิน 1  นิ้ว  ความยาวของหูต้องสัมพันธ์กับหัว และตัว
          9. น้ำหนักตัวตามมาตรฐานในตัวผู้ คือ 1.6 ก.ก. ในตัวเมีย 1.7 ก.ก.
              และน้ำหนักที่มากที่สุดที่สามารถจดทะเบียนได้คือ 1.8 ก.ก. 

กลุ่มสีที่ตรง ตามมาตรฐาน
          กระต่ายฮอลแลนด์ลอปมีสีมากมายหลากหลายสี จนสามารถแบ่งออกเป็นกลุ่มสีต่างๆ ได้มากถึง 7 กลุ่มสี ได้แก่ กลุ่มอะกูติ (Agouti) กลุ่มสีขาวแต้ม (Broken) กลุ่มสีขาวมีมาร์กกิ้งแปดแต้ม (Pointed White) กลุ่มสีพื้น (Self) กลุ่มสีเฉด (Shaded) กลุ่มสีพิเศษ (Ticked) และกลุ่มสีอื่นๆ (Wide Band) หรือเราอาจจะกล่าวง่ายๆ ว่ามีสีต่างๆ ที่รับรองโดย ARBA แล้ว ดังต่อไปนี้ คือ
          กลุ่มอะกูติ : สีเชสนัทอะกูติ สีช็อกโกแล็ตอะกูติ สีชินชิลล่า สีช็อกโกแล็ตชินชิลล่า สีลิงซ์ สีโอปอล
                             สีกระรอก (Squirrel) 
          กลุ่มสีขาวแต้ม : สีขาวแต้ม คือสีขาว แต่มีสีแต้มเป็นสีอะไรก็ได้ ที่ได้รับการรับรอง รวมถึงสีไตรคัลเลอร์
                                   หรือสามสี (มีสีขาว น้ำตาล และดำ) 
          กลุ่มสีขาวมีมาร์กกิ้งแปดแต้ม : โดยที่มาร์กกิ้งต้องมีสีกลุ่มสีพื้น (สีดำ สีบลู สีช็อกโกแล็ต สีไลแลค) 
          กลุ่มสีพื้น : สีดำ สีบลู สีช็อกโกแล็ต สีไลแลค สีขาวตาแดง และสีขาวตาฟ้า
          กลุ่มสีเฉด : สีวิเชียรมาศ สีทองแดง สีซีล สีเทาควันบุหรี่ และสีกระ
          กลุ่มสีพิเศษปลายขนสีน้ำตาล : ตอนนี้มีอยู่สีเดียวคือ สีสตีล หรือสีสนิมเหล็ก
          กลุ่มสีอื่นๆ : สีครีม สีฟางข้าว สีฟร้อสตี้ (เทาควันบุหรี่อ่อนๆ) สีส้ม และสีแดง

แมวเปอร์เชีย


แมวเปอร์เชีย



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม


           แมวเปอร์เซีย ถือเป็นราชินีแมวจากแดนตะวันออกกลางที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก เพราะเป็นแมวขนยาว หน้าตาน่าเอ็นดู หัวกลมสวย ตากลมโต มีหลายสีขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ รวมถึงหน้าตาก็มีหลายแบบ มีอุปนิสัยอ่อนโยน เข้ากับคนง่าย ร่าเริงซุกซน ชอบประจบประแจง และมีไหวพริบ ซึ่งแมวพันธุ์นี้นับเป็นแมวต่างประเทศที่ถูกนำเข้ามาเผยแพร่ในประเทศไทยเป็นพันธุ์แรกด้วย

           แมวเปอร์เซียมีถิ่นกำเนิดอยู่แถบเปอร์เซีย หรือประเทศตุรกี และอิหร่านในปัจจุบัน โดยในปี ค.ศ. 1684 ได้มีการบันทึกลายลักษณ์อักษรเกี่ยวกับที่มาของ แมวเปอร์เซีย หรือแมวเปอร์เซียน (Persian Cats) ว่า พ่อค้าทะเลทราย (หรือที่เรียกว่ากองคาราวาน) ทางแถบๆ ตะวันตกของตุรกีและอิหร่าน มักบรรทุกสินค้ามากมาย อาทิเครื่องเทศน์ อัญมณี และสินค้ามีค่าอื่นๆ ซึ่งบางครั้งก็มีแมวขนยาวติดมาด้วย แมวขนยาวนั้นถูกซื้อโดยกะลาสีและได้นำแมวติดไปกับเรือสินค้าเดินทางเข้าทวีป ยุโรป ซึ่งหลายปีต่อมาแมวพันธุ์นั้นถูกรู้จักในชื่อ เตอร์กิส แองโกร่า (Turkish Angora)

           ต่อมาในปลายศตวรรษที่ 19 ชาวอังกฤษเริ่มผสมพันธุ์แมวเตอร์กิส แองโกร่า กับแมวสายพันธุ์อื่น และพัฒนาจนได้แมวที่มีขนหนาและยาวกว่าเดิม กระทั่งในที่สุดแมวพันธุ์นี้ก็ได้รับการยอมรับและจดทะเบียนขึ้นที่ประเทศอังกฤษในชื่อว่า Longhair ซึ่งชื่อของมันก็ถูกตั้งขึ้นตามประเทศต้นกำเนิดนั่นเอง 

           นอกจากประเทศอังกฤษแล้ว แมวเปอร์เซียยังถูกนำไปเลี้ยงในประเทศต่างๆ ทั้งยุโรปและอเมริกามานานหลายร้อยปี ซึ่งอเมริกาจะเรียกแมวพันธุ์นี้ว่า Persian

 ลักษณะสายพันธุ์

           แมวเปอร์เซีย เป็นแมวที่มีขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ มีกระดูกที่ใหญ่และแข็งแรง หัวและหน้ากลม หน้าผากโหนก แก้มเต็ม ดวงตากลมโต และอยู่ในตำแหน่งที่ห่างกัน มีจมูกที่หัก กล่าวคือ สังเกตได้ชัดเจนเมื่อมองจากด้านข้างจะเห็นจุดหักระหว่างจมูกกับหน้าผากชัดเจน เมื่อมองจากด้านหน้าจะเห็นเป็นขีดอยู่ระหว่างดวงตา

           สำหรับแมวเปอร์เซียที่มีลักษณะตรงตามมาตรฐานสายพันธุ์ ควรจะมีจมูกอยู่ในระดับเดียวกับตา โครงสร้างลำตัวสั้น ขาสั้นเตี้ย หูเล็กมีปลายหูที่กลมมน และอยู่ในตำแหน่งที่ห่างกัน หางสั้นและตรง ไม่มีรอยหัก ขนยาวฟู มีท่วงท่าการเดินดูสง่างาม ทั้งนี้ แมวเปอร์เซียในสมัยแรกๆ มีรูปร่างหน้าตาที่ต่างจากแมวเปอร์เซียในปัจจุบันมากทีเดียว ปัจจุบันมันถูกพัฒนาให้มีรูปร่างที่สั้นขึ้น ขนยาวขึ้น ถูกเปลี่ยนแปลงโครงร่างให้ใหญ่และกลม จมูกสั้นและหักมากขึ้น 

           อย่างไรก็ตาม แมวเปอร์เซียถูกแบ่งออกเป็น 7 ชนิด โดยแบ่งตามสี และลักษณะเป็นหลัก ดังนี้

            1.Solid colour  ขนจะเป็นสีเดียวตลอดตัว ไม่ควรมีสีอื่นแซมเลย สีจะต้องเสมอกันตลอด เช่น white ขนสีขาวบริสุทธิ์, blue ขนสีเทาเข้ม, black สีขนดำสนิท, red ขนสีแดงเข้มและสดใส, cream ขนสีครีมเข้ม, chocolate ขนสีน้ำตาสช็อกโกแลต, lilac ขนสีลาเวนเดอร์

            2.Sliver&Golden ตาจะเป็นสีเขียวหรือสีเขียวอมน้ำเงินเท่านั้น

            3.Shade&Smoke จะมีสีขน 3 แบบ คือแบบ Shell จะมีสีที่ปลายขนเพียงเล็กน้อย แบบ Shade จะมีส่วนที่เป็นสีมากกว่า และแบบ Smoke จะมีสีมากกว่าแบบ Shade

            4.Tabby จะมีลวดลายที่เป็นที่ยอมรับอยู่ 2 แบบ คือ Classic และ Mackerel

            5.Parti-colour จะเกิดขึ้นเฉพาะเพศเมียเท่านั้น อันสืบเนื่องมาจากการสืบทอดทางโครโมโซม

            6.Calico & Bi-Color สีทั่วไปตาจะเป็นสีทองแดง ถ้าเป็นตาสองสีตาข้างหนึ่งจะเป็นสีฟ้า อีกข้างเป็นสีทองแดง ความเข้มของสีตาทั้งสองข้างเท่าๆ กัน

            7.Himalayan เกิดจากการผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่างแมวไทยวิเชียรมาสกับแมวเปอร์เซีย จะมีลักษณะแต้มสีตำแหน่งเดียวกับแมววิเชียรมาส คือหูทั้งสองข้าง ที่หน้าครอบเหมือนหน้ากาก ขาทั้งสี่ ตาสีฟ้าสดใส

 อาหารและการเลี้ยงดู

           อย่างที่ทราบกันไปแล้วว่า แมวเปอร์เซียเป็นแมวสายพันธุ์ต่างประเทศ ค่าเลี้ยงดูและค่าตัวอาจแพงสักหน่อย ทั้งนี้ ราคาของแมวเปอร์เซีย มีตั้งแต่หลักพันถึงหลักแสน ขึ้นกับเกรดของสายพันธุ์ สามารถแบ่งได้เป็น

           เกรดเพ็ด(PET Quality) ส่วนมากเป็นแมวที่เลี้ยงตามบ้านทั่วไป ราคาประมาณ 5,000-15,000 บาท จมูกยาว หน้าไม่บี้ หรือเรียกว่าหน้าตุ๊กตา

           เกรดทำพันธุ์และโชว์(Breed and Show Quality) ส่วนมากเป็นพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ เลี้ยงไว้เพื่อประกวด หรือโชว์ มีลักษณะของแมวเปอร์เซียที่ดีครบ โดยหน้าจะบี้ คือ จมูกและตาเกือบเสมอกัน

           นอกจากนี้ ระดับของราคายังแบ่งเป็นสายพันธุ์ในประเทศอยู่ที่ 25,000-35,000 บาท สายพันธุ์นำเข้า 35,000-100,000 บาท หรือมากกว่านั้น ขึ้นกับสุขภาพของแมว และลักษณะเด่นตามสายพันธุ์ 

           เมื่อตัดสินใจจะเลี้ยงแมวพันธุ์นี้แล้ว จงพึงระลึกไว้เสมอว่า การดูแลขนของแมวเปอร์เซียเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง ผู้เลี้ยงต้องหมั่นทำความสะอาดถึงการแปลงและสางขนแมวอย่างสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันการเกิดขนพันกัน เพราะการที่ขนพันกันเป็นกระจุกนั้นจะเป็นแหล่งเพาะเชื่อโรครวมทั้งพยาธิต่างๆ ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคผิวหนังอักเสบและเป็นที่อยู่ของเห็บหมัดอีกด้วย

           ในเรื่องของอาหารการกินนั้น ควรเลือกอาหารที่ช่วยให้ทางเดินอาหารของแมวไม่อุดตัน เนื่องจากแมวเปอร์เซียจะใช้เวลาส่วนใหญ่ในการเลียทำความสะอาดขน อันเป็นสาเหตุในการกินหรือกลืนเส้นขนเข้าไปเป็นจำนวนมาก หากเส้นขนจะไปรวมตัวกันในช่องท้องจะทำให้แมวเปอร์เซียสำรอกหรือเกิดปัญหาของระบบย่อยอาหารได้

 โรคและวิธีการป้องกัน

           โรคที่พบบ่อยในแมวเปอร์เซียนั้นส่วนใหญ่จะเป็นโรคที่เกิดขึ้นและถ่ายทอดทางพันธุกรรม เช่น โรคหายใจขัด หอบ หรือ ท่อน้ำตาอุดตัน เป็นต้น นอกจากนี้ แมวเปอร์เซียที่มีสีขาวรวมถึงแมวเปอร์เซียที่มีตาสีฟ้าหรือตาข้างละสีมักมีความผิดปกติตั้งแต่กำเนิด คือ หูหนวก อีกด้วย

สุนัขพันธุ์ เกรทเดน


สุนัขพันธุ์ เกรทเดน

{pic-alt} ลักษณะทั่วไป

 

     สุนัขสายพันธุ์เกรทเดนนั้น มีความสง่าผ่าเผย มัดกล้ามสมส่วนดูหน้าเกรงขาม เกรทเดนถึงแม้จะดูตัวใหญ่น่าเกรงขามแต่มันไม่มีนิสัยก้ารร้าว บางครั้งมันมักจะมีอุปนิสัยดื้อและซน เกรทเดนจัดได้ว่าเป็นสุนัขที่มีเสน่ห์ มีความซื่อสัตย์และมีความจงรักภักดีต่อ และที่สำคัญเกรทเดนชอบที่จะได้รับความรักและความอบอุ่นจากผู้เป็นเจ้าของเสมอ
ความเป็นมา

     เกรทเดนสุนัขสายพันธุ์นี้ถูกพัฒนาขึ้นในประเทศ เยอรมนี สุนัขพันธุ์เกรทเดนเป็นสุนัขที่มีขนาดใหญ่ แข็งแรง มีความสามารถเฉพาะตัวสูง ชาวเยอรมันได้พัฒนาสุนัขพันธุ์นี้ขึ้นมาเพื่อล่าหมูป่า แต่ในปัจจุบันเกรทเดนได้รับการพัฒนาสายพันธุ์ให้ดีขึ้น

{pic-alt}


{pic-alt} ลักษณะนิสัย
 

     เกรทเดนเป็นสุนัขที่ขี้ประจบ เป็นมิตร เงียบๆ และสุภาพกับเด็กๆที่ปฏิบัติต่อมันอย่างนิ่มนวล หากมีคนมาหาจะส่งเสียงเห่าดังๆ บอกเจ้าของให้รู้ แต่ไม่ก้าวร้าวหรือกัด

{pic-alt}



 

{pic-alt} การดูแล  
 

     เกรทเดน เป็นสุนัขขนสั้น เรียบเป็นมันเงางาม ควรแปรงขนให้สุนัขเกรทเดนทุกสัปดาห์เป็นประจำ 5-10 นาที ก็เพียงพอ เพราะเป็นสุนัขที่มีขนชั้นเดียว ดังนั้นในขณะที่ขนตายกำลังร่วงขนใหม่ก็จะขึ้นมาทดแทนทันที ทั้งนี้ผู้เลี้ยงควรหาเวลาออกกำลังกายให้มันอย่างสม่ำเสมอ แต่อย่าลืมคำนึงถึงพื้นที่ของบ้านของคุณด้วย
ส่วนเรื่องของการออกกำลังกาย เกรทเดนเป็นสุนัขที่แข็งแรง อยากรู้อยากเห็นตามสัญชาติญาณของสุนัขล่าเนื้อ จึงควรให้เกรทเดนได้ออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อที่เขาจะได้ไม่อ้วนและไม่เครียด

{pic-alt} ผู้เลี้ยงที่เหมาะสม


     เกรทเดนเติบโตอย่างรวดเร็วมาก ดังนั้นไม่ควรให้สุนัขออกกำลังกายมากเกินไปก่อนอายุ 12 เดือนต้องแน่ใจว่าบริเวณที่เลี้ยงควรมีรั้วรอบขอบชิด และเมื่อผู้เลี้ยงไม่อยู่บ้านต้องผูกสุนัขไว้ด้วยเพราะ เกรทเดน สามารถกระโดดข้ามรั้วได้สบายๆ ที่สำคัญผู้เลี้ยงจะต้องคอยให้ความรักความเอ็นดูสุนัขด้วยนะ

{pic-alt}

{pic-alt} มาตรฐานสายพันธุ์
 

ขนาดมีความสูงประมาณ 28 - 32 นิ้ว
เพศผู้ 54 - 90 กก. เพศเมีย 45 - 68 กก.
ศรีษะ-
ฟัน-
ปาก-
ตา-
หู-
จมูก-
คอ-
อก-
ลำตัว-
เอว-
ขาหน้า-
ขาหลัง-
หาง-
ขนขนของเกรทเดนเป็นขนสั้น เรียบ และเงา สีของขนอาจจะเป็นสีน้ำตาลสีเทาแกมเหลือง สีน้ำเงิน และสีดำ
สีขนดำ น้ำเงิน สีลูกวัว ลายเสือ สีฮาเลควิน